กรรมในพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนาเรามีเรื่องกรรม
สอนเป็นพิเศษ
ให้เชื่อเรื่องกรรม
ซึ่งมันค่อนข้างจะเป็นวิทยาศาสตร์;
คือให้มองที่นี่และเดี๋ยวนี้
มองเห็นการกระทำและเหตุของการกระทำ
และ
ผลของการ
กระทำ
แล้วก็ปฏิบัติให้ถูก;
นี้มันเป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์
แต่ถ้าเราจะพูดไปในรูปอื่น
หรือมนุษย์พวกอื่นเขาต้องการจะ
พูดไปในรูปอื่น
เขาก็พูดให้เป็นเรื่องเชื่อพระเจ้า
พอเชื่อพระเจ้า
มันก็ไม่ทำอย่างนั้นคือไม่ทำกรรมชั่วอย่างนั้นๆ;
มันก็ได้เหมือน
กัน
หรือแม้จะพูดไว้ในรูปไสยศาสตร์
มันก็ได้เหมือนกัน:
เช่น
กล่าวในรูปความขลัง
ความศักดิ์สิทธิ์
ทำอย่างนั้นไม่ได้
เป็นตาบู
อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องกรรมด้วยเหมือนกัน;
แต่มันโดย
อาศัย
motive
อย่างอื่น
เช่นพระเจ้าต้องการไม่ให้ทำหรือว่าตาบู
อะไร
ก็ไม่รู้
ผีสางเทวดาอะไรก็ไม่รู้
ไม่ให้ทำ;
อย่างนี้มันไม่ใช่หลัก
ของพระพุทธศาสนา.
ถ้าเมื่อถือตามหลักของพุทธศาสนา
ก็ให้มีความรู้ลงไปตรงๆ
ตรงการกระทำ
ว่ามันเป็นอย่างไร
เหตุให้กระทำมันเป็นอย่างไร
แล้วผลของการกระทำนั้นมันจะเป็นอย่างไร
นี่เรื่องกรรม
อาศัย
ปัญญาเป็นรากฐาน
ก็เลยแบ่งเป็น
กรรมดี
กรรมชั่ว
กรรมที่
เหนือดีเหนือชั่ว
มีอยู่ ๓
อย่าง.
กรรมชั่วมาก่อน
มันมีเหตุชั่ว
คือกิเลส,
แล้วผลก็คือ
ความทุกข์
หรืออบาย.
กรรมดีก็มาจากเหตุที่ดี
ความรู้จักดี,
แล้วก็ได้ผลเป็น
ความสุขสบายตามที่ตนพอใจ:
แต่ก็ยังต้องเสวยผลกรรมอยู่.
เช่น
ไปสวรรค์
เป็นต้น
นี้ก็บัญญัติไว้ว่าเป็นกรรมดี
แต่เรื่องชั่ว
เรื่องดีนี้
ก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น.
คนชั่วก็มีความทุกข์อย่าง
แบบคนชั่ว,
คนดีก็มีความทุกข์อย่างแบบคนดี.
เป็นคนดีในโลกนี้
ก็ยังมีความทุกข์อีกแบบหนึ่ง
ตามแบบของคนดี;
เช่นปัญหาที่เกิด
เนื่องมาจากความดี
เกี่ยวกับความดีนี้มันก็ยังมีอยู่อีกมากเหมือนกัน.
มีคนเยอะแยะฆ่าตัวตาย
ทั้งๆที่มีชื่อเสียง
มีความดี
มีความร่ำรวย
มีอะไร;
แต่มันมีความทุกข์อย่างอื่น
เป็นเทวดาในสวรรค์
ก็มีความ
ทุกข์ตามแบบเทวดาในสวรรค์.
เพราะฉะนั้น
เพียงแต่กรรมดีเฉยๆ
นี้ยังไม่ใช่สูงสุด
มันต้อง
เหนือชั่ว
เหนือดี
คือไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวเรา
หรือของเรา.
กรรมที่เหนือชั่ว
เหนือดี
นี้แหละทำให้บรรลุ
มรรค
ผล
นิพพาน.
กรรมชั่วทำให้เวียนว่ายอยู่ในอบาย
ในความทุกข์
กรรมดีทำให้เวียนว่ายอยู่ในทรัพย์สมบัติ
เกียรติยศ
ชื่อเสียง
หรือ
สวรรค์;
ก็ยังเวียนว่ายอยู่นั่นเอง.
ส่วนกรรมที่เหนือชั่วเหนือดีขึ้น
ไปอีก
คือมีจิตใจเหนือสิ่งต่างๆ
นี้
คือไม่เป็นทาสของสิ่งใด
ไม่มี
ตัวเราสำหรับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป;
อย่างนี้เรียกว่า
บรรลุนิพพาน.
ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว
นั้นมันก็ส่วนหนึ่ง;
แล้วก็เป็นหลักของ
ศาสนาทั่วไป
ไม่เฉพาะของพุทธศาสนา.
แต่กรรมที่ ๓
ที่ว่า
สูงขึ้นไปด้วย
การกระทำตามหลักพระพุทธศาสนาคือ
ไม่ยึดมั่น
ถือมั่น,
ปฏิบัติตามมรรคมีองค์
๘ ประการ
แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น
นี้
มันจะไปสู่นิพพาน:
มีผลเป็นความหมดความรู้สึกที่จะยึดมั่น
เป็นตัวกู-ของกู
นี้มันก็เย็นสบาย
มีจิตใจที่สบาย
ไม่มีทุกข์เลย.
นี่เรียกว่าเหนือชั่ว
เหนือดี,
เรื่องกรรมมีอยู่
๓ กรรม
อย่างนี้ขอ
ให้เข้าใจ.
เมื่อเราทำชั่ว
ก็ร้อนเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น;
เมื่อเราทำดี
นี้
มันก็รู้สึกตื่นเต้นลิงโลด
เหมือนกับถูกเชิด.
แต่ถ้าเมื่อไรเราสงบ
บางเวลา
บางนาทีเรามีความสงบ
ไม่รู้สึกเรื่องดี
เรื่องชั่ว;
นั้นคือ
ความพักผ่อนที่ถูกต้อง.
ดังนั้นเราจึงไปในที่บางแห่ง
เพื่อช่วยให้
จิตใจมันหยุด
สงบ
ว่างไปจากความรบกวนของชั่วๆ
ดีๆ
นี้เราก็
สบาย
จะไปตากอากาศชายทะเล
หรือว่ามาในที่อย่างนี้
อย่างที่
สวนโมกข์นี้
เพื่อให้ธรรมชาติเหล่านี้
มันแวดล้อมจิตใจ
ให้มัน
ว่างจากความรบกวนของความชั่ว-ความดี;
อย่างนี้
เป็นเรื่องของ
ความว่าง
เป็นเรื่องที่เป็นไปทางนิพพาน.
ขอให้เข้าใจว่า
ของขมมันก็ไม่ไหว
ของหวานแรกๆ
มันก็ดีอยู่
ถ้าให้กินเรื่อยไป
ไม่ยอมให้หยุดมันก็ไม่ไหว
มันจะต้องตาย;
ผลสุดท้าย
ก็ต้องมากินน้ำจืดๆ.
ฉะนั้นให้เรารู้จักความที่มันจืด
หรือมันไม่ดี
ไม่ชั่ว
ไม่หวาน
ไม่ขมนี้เสียบ้าง.
มันเป็นความสงบ
ความพักผ่อน.
ในเรื่องกรรมจะต้องรู้อย่างนี้:
เมื่อถือหลักกรรม
ตามแบบนี้
ก็เป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์
คือไปถึงนิพพานได้.
ฆรา
๑๗.ก/๔๓๑-๔๓๓